ระบบบำบัดน้ำเสียบ่อบำบัดน้ำเสียคอนโดมิเนียม
สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในการบำบัดน้ำเสียและในระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบคือ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสีย(บำบัดน้ำเสีย) เป็นตัวแปรและตัวจักรที่สำคัญมากที่สุดในกระบวนการบำบัดน้ำเสียขั้นสุดท้ายจากทุกๆแหล่งและทุกๆระบบบำบัด ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งจะผ่านเกณฑ์หรือไม่ผ่านเกณฑ์อยู่ที่ตัวแปรตัวนี้เป็นหลัก ปัญหาการบำบัดน้ำเสียของอาคารชุดคอนโดมิเนี่ยมและอาคารสำนักงานทั่วๆไปส่วนใหญ่คือ ปัญหาค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์กำหนด ซึ่งอาจจะไม่ผ่านเกณฑ์เป็นบางค่า เช่น ค่า BOD , TKN , SS , TDS เป็นต้น หรือในคอนโดบางแห่ง อาจจะมีค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านหลายๆค่าพร้อมๆกัน ซึ่งจะติดตามมาด้วยการถูกปรับจากส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสิ่งแวดล้อมของประเทศ โมเดลระบบบำบัดน้ำเสียของอาคารชุดคอนโดและอาคารสำนักงานแทบทุกๆแห่งจะเหมือนๆกัน โดยเฉพาะนำเอาระบบบำบัดเชื่อมต่อโดยตรงเข้ากับของเสียที่ไปจากบ่อเกรอะ ซึ่งสร้างปัญหาให้ระบบบำบัดอย่างมาก ระบบล้มเหลวบ่อยๆ ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์ ส่วนหนึ่งมาจากปัญหาดังกล่าวนี้ ซึ่งส้รางปัญหาทั้งค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านและปัญหาในเรื่องกลิ่นเหม็นฟุ้งกระจายจากบ่อเกรอะ ลดกลิ่น บำบัดกลิ่น เพิ่มค่า DO และลดค่า BOD ในบ่อบำบัดน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียด้วย จุลินทรีย์หอมคาซาม่า ( ย่อยสลายสารอินทรีย์ในน้ำเสียทำให้ค่า SS , TSของแข็งลด ส่งผลให้ค่า BOD ลดลงไปด้วย ) ค่าพารามิเตอร์ ( Para Meter ) ชื่อนี้มีความหมายและความสำคัญอย่างมากต่อระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบ เป็นเครื่องชี้วัดว่า ระบบบำบัดน้ำเสียของท่านมีประสิทธิภาพมากหรือน้อยเพียงใดอ่านบทความต่อไปนี้ให้จบ ความหมายของน้ำทิ้ง : น้ำทิ้ง หมายถึง น้ำเสียที่ผ่านการบำบัดและได้ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งกำหนดไว้
ท่านเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียม ? ท่านเป็นนิติบุคคลอาคารชุดคอนโดมิเนียม? วันนี้ท่านได้ตรวจสอบบ่อบำบัดน้ำเสียของท่านและระบบบำบัดน้ำเสียของท่านว่ายังคงมีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีได้จริงๆหรือไม่ ? หรือจะรอให้ทางราชการเข้ามาตรวจสอบก่อนแล้วค่อยลงมือแก้ไขปัญหาทีหลัง? เตรียมพร้อมตั้งแต่วันนี้ดีกว่าไหม? ลงมือแก้ไขปรับปรุงระบบบำบัดน้ำเสียที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าเดิม
ค่ามาตรฐานน้ำทิ้ง ( ค่าพารามิเตอร์ ) ต่างๆจะเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ระบบบำบัดน้ำเสียและบ่อบำบัดน้ำเสียของท่านมีประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียได้มากน้อยเพียงใด โปรดศึกษาได้จากเนื้อหาด้านล่างสุดของเพจนี้ ระบบบำบัดน้ำเสียของอาคารชุดหรือคอนโดมิเนี่ยมส่วนใหญ่จะเป็นแบบระบบเติมอากาศ AS ( Activated Sludge ) ซึ่งจะประกอบไปด้วย .- บ่อที่ 1 บ่อรับน้ำเสียรวม น้ำเสียทั้งระบบในอาคารชุดคอนโดจะลงมารวมกันทั้งหมดทที่นี่ ยกเว้นน้ำเสียจากชักโครกหรือส้วม ซึ่งจะต้องไปลงที่บ่อเกรอะรวมและทำการบำบัดในเบื้องต้นเสียก่อนจึงจะส่งไปรวมกับบ่อรับน้ำเสียรวมได้ บ่อที่ 2 บ่อเติมอากาศ ปฏิกิริยาการย่อยสลายของเสียต่างๆในน้ำเสียจะเกิดขึ้นในบ่อนี้มากที่สุด บ่อที่ 3 บ่อพักน้ำทิ้ง เป็นบ่อที่รับน้ำเสียที่ผ่านการบำบัดย่อยสลายแล้วมาจากบ่อที่ 2 ( บ่อเติมอากาศ ) เพื่อรอการตกตะกอนส่วนเกิน ( Excess Sludge ) นำไปกำจัดทิ้งหรือนำกลับไปบำบัดซ้ำในบ่อเติมอากาศ
ปัญหาส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในบ่อที่ 2 คือ บ่อเติมอากาศ และบ่อที่ 3 ซึ่งเป็นบ่อตกตะกอนหรือบ่อพักน้ำ ( รอทิ้ง )และบ่อที่ 3 นี้ก็เป็นบ่อตกตะกอนในตัว ( กรณีที่มี 3 บ่อ ) ถ้าการเติมอากาศออกซิเจนกระจายได้ไม่ทั่วถึงทั้งบ่อ อาจจะด้วยกำลังเครื่องเติมอากาศไม่เพียงพอ ( กำลังวัตต์หรือกำลังแรงม้าแรงน้อยไม่เพียงพอ ) จะส่งผลต่อปริมาณของจุลินทรีย์โดยตรง กระทบกับการดำรงชีพเจริญเติบโตและการขยายตัวของกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้จุลินทรีย์ย่อยสลายในระบบบำบัดมีน้อยกว่าปริมาณของเสียและน้ำเสีย การย่อยสลายเกิดขึ้นได้น้อยจะส่งผลให้ค่าพารามิเตอร์ต่างๆ สูง เช่น ค่า BOD , SS , TDS เป็นต้น ทำให้ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์ นี่คือปัญหาที่พบบ่อยๆจากอาคารชุด ปัญหายังไม่หยุดเพียงแค่นี้ ยังมีอีกหลายๆปัญหาในระบบ โดยเฉพาะของเสียและสิ่งปฏิกูลหลุดเข้าไปในระบบบำบัดบ่อเติมอากาศ ทำให้จุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียเหล่านี้ไม่ทัน เพราะมีขนาดใหญ่ ทั้งตะกอนขนาดใหญ่ ตะกรันของแข็งแขวนลอย ซึ่งสร้างปัญหาให้กับระบบบำบัดอย่างมาก
ระบบบำบัดน้ำเสียส่วนใหญ่ในประเทศไทย คือ ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ AS ( Activated Sludge ) ซึ่งมีมากกว่า 90% เป็นระบบที่เติมออกซิเจนลงในน้ำเสีย ( บ่อเติมอากาศ ) โดยใช้เครื่องเติมอากาศ ( Aerator ) เติมออกซิเจนลงในบ่อน้ำเสีย เพื่อเพิ่มออกซิเจนให้กับน้ำเสีย และเพิ่มออกซิเจนในการดำรงชีพของกลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายที่ใช้ออกซิเจนเป็นหลัก จุลินทรีย์กลุ่มนี้เมื่อได้รับออกซิเจนแล้วจะเจริญเติบโตและขยายตัวทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียต่างๆในน้ำเสีย ( สารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ ) เพื่อให้ของเสียที่อยู่ในรูปของสสารและแร่ธาตุต่างๆกลายไปเป็น -> น้ำ + พลังงาน + คาร์บอนไดออกไซด์ ในที่สุด
จุดอ่อนของระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ ( ระบบ AS )อยู่ตรงจุดใด ? 1. การเติมออกซิเจนกระจายไม่ทั่วถึงทั้งบ่อบำบัด อาจจะด้วยเครื่องเติมอากาศมีกำลังวัตต์หรือกำลังแรงม้าต่ำ เติมออกซิเจนได้ไม่เพียงพอกับปริมาตรของน้ำเสีย จึงเติมออกซิเจนได้ไม่กระจายทั่วถึงทั้งบ่อบำบัด ซึ่งจะส่งผลต่อปริมาณและการเจริญเติบโตของกลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายที่ใช้อากาศออกซิเจนโดยตรง 2. เติมออกซิเจนไปไม่ถึงก้นบ่อบำบัด เพราะบ่อบำบัดลึกเกินไป ( บ่อเติมอากาศไม่ควรลึกเกิน 3 เมตร ) ออกซิเจนจะไปไม่ถึงก้นบ่อ ส่งผลเสียให้น้ำเสียและของเสียที่ตกตะกอนอยู่ที่ก้นบ่อไม่ได้รับการบำบัดและย่อยสลายเหมือนที่ผิวบ่อบำบัด 3. ต้องเติมออกซิเจนอย่างต่อเนื่อง ( เดินเครื่องเติมอากาศอย่างต่อเนื่อง ) เพื่อไม่ให้ปริมาณกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนลดปริมาณลง จะส่งผลเสียต่อการย่อยสลายของเสียต่างๆในน้ำเสียได้น้อยลงตามไปด้วย 4. ไม่สามารถกำหนดปริมาณและความหนาแน่นของกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนได้ ต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติกำหนด ถ้าต้องการเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนให้มากขึ้น ต้องเพิ่มจำนวนบ่อบำบัดและเครื่องเติมอากาศ ปรับปรุงทางด้านเทคนิคต่างๆ ซึ่งค่อนข้างสลับซับซ้อน
ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ AS สามารถเพิ่มบ่อเติมอากาศได้มากกว่า 1 บ่อได้ตามความต้องการ ซึ่งก็จะทำให้งบประมาณเพิ่มตามไปด้วย ไม่จำเป็นต้องมีเพียงแค่ 3 บ่อ ( ตามภาพด้านบน ) สามารถเพิ่มบ่อเสริมในแต่ละจุดได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียได้ดีมากยิ่งขึ้น แต่ข้อเสียคือ งบประมาณเพิ่มตาม การควบคุมระบบก็จะยากขึ้นตามไปด้วย แต่ส่วนใหญ่จะสร้างบ่อบำบัดแค่ 3 บ่อ ( ตามภาพบน ) เพราะสะดวกและประหยัดงบประมาณ ดูแลง่าย แต่ข้อเสียคือ ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งอาจไม่ผ่านในบางครั้ง หรือระบบล้มเหลวได้ง่ายๆ ถ้าการบริหารจัดการดูแลและบำรุงรักษาไม่ดีพอ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีปัญหาในจุดนี้ จึงส่งผลให้น้ำทิ้งในบ่อสุดท้ายไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานน้ำทิ้ง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นต้องหาตัวช่วยเพื่อมาช่วยเพิ่มการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียให้เกิดขึ้นได้มากขึ้น เป็นการเพิ่มศักยภาพการบำบัดน้ำเสียในระบบบำบัดให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นนั่นเอง ด้วยการเพิ่มหรือเติมจุลินทรีย์ย่อยสลายเข้าไปในระบบ เพื่อเพิ่มปฏิกิริยาการย่อยสลายของเสียในระบบบำบัดให้มากขึ้นและเร็วขึ้น หน้าที่โดยตรงของผู้ดูแลระบบบำบัดน้ำเสียและบ่อบำบัดน้ำเสีย หน้าที่ประจำซึ่งถือว่าเป็นงานที่ต้องปฏิบัติเป็นประจำอย่างต่อเนื่องของเจ้าของอาคารสำนักงานต่างๆ และนิติบุคคลอาคารชุดที่เป็นคอนโดมิเนียมทุกๆแห่งที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมของกรมควบคุมมลพิษ 1 . ดูแลและควบคุมระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆส่วนให้อยู่ในสภาพพร้อมการใช้งานได้ตลอดเวลา การบำรุงรักษาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องจะมีผลต่อประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียโดยตรง หมั่นตรวจสอบเครื่องมือต่างๆให้พร้อมทำงานและสภาพบ่อบำบัดอยู่เป็นประจำ 2. ตรวจสอบค่าพารามิเตอร์ของบ่อบำบัดน้ำเสียเป็นประจำทุกเดือน ( หรือไม่น้อยกว่า 3 เดือน / ครั้ง ) เก็บตัวอย่างน้ำเสียในบ่อที่ 1 ( ก่อนบำบัด ) และเก็บตัวอย่างน้ำในบ่อสุดท้าย ( ที่ผ่านการบำบัดแล้ว ) เข้าตรวจสอบค่าพารามิเตอร์ต่างๆในห้องปฏืบัติการ เพื่อตรวจสอบค่ามาตรฐานน้ำเสียที่ทางราชการกำหนดไว้ บันทึกในตารางค่าพารามิเตอร์ในแต่ละเดือน
สำหรับค่าพารามิเตอร์ต่างๆที่ควรรู้ในระบบบำบัดน้ำเสียหรือในบ่อบำบัดน้ำเสีย - BOD ( บีโอดี ) ในน้ำเสีย คือ ปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในกระบวนการทางชีวเคมี มีหน่วยเป็นมิลลิกรัม/ลิตร ( mg/l ) - COD ( ซีโอดี ) ในน้ำเสีย คือ ปริมาณออกซิเจนที่ใช้ในกระบวนการทางเคมี มีหน่วยเป็นมิลลิกรัม/ลิตร ( mg/l ) COD (Chemical Oxygen Demand) คือ ปริมาณ O2ที่ใช้ในการออกซิไดซ์ในการสลายสารอินทรีย์ด้วยสารเคมีโดยใช้สารละลาย เช่น โพแทสเซียมไดโครเมต (K2Cr2O7) ในปริมาณมากเกินพอ ในสารละลายกรดซัลฟิวริกซึ่งสารอินทรีย์ในน้ำทั้งหมดทั้งที่จุลินทรีย์ย่อย สลายได้และย่อยสลายไม่ได้ก็จะถูกออกซิไดซ์ภายใต้ภาวะที่เป็นกรดและการให้ความร้อน โดยทั่วไปค่า COD จะมีค่ามากกว่า BOD เสมอ ดังนั้นค่า COD จึงเป็นตัวแปรที่สำคัญตัวหนึ่งที่แสดงถึงความสกปรกของน้ำเสีย - TS หรือปริมาณของแข็งทั้งหมด (Total Solids : TS ) ในน้ำเสีย มีหน่วยเป็น มิลลิกรัม/ลิตร ( mg/l ) - SS หรือปริมาณของแข็งแขวนลอย (Suspended Solid : SS ) ในน้ำเสีย มีหน่วยเป็นมิลลิกรัม/ลิตร ( mg/l ) - ค่า TKN หรือปริมาณไนโตรเจนในรูป TKN มีหน่วยเป็นมิลลิกรัม/ลิตร( mg/l ) - ค่า F ( FO4 ) ปริมาณฟอสเฟต มีหน่วยเป็นมิลลิกรัม/ลิตร ( mg/l ) - ค่า pH ความเป็นกรด-ด่าง (pH) สำหรับค่ามาตรฐานน้ำทิ้งบางตัวจากอาคารบางประเภทและบางขนาด ตามประกาศคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (2537)
- ค่าบีโอดี (BOD) ไม่เกิน 20 มิลลิกรัม/ลิตร - ค่า SS หรือปริมาณของแข็งแขวนลอย (Suspended Solid : SS ) ไม่เกิน 30 มิลลิกรัม/ลิตร - ค่า pH 5 - 9 - TDS ไม่เกิน 500 mg/l - FOG ไม่เกิน 20 mg/l ฯ ล ฯ ปัญหาที่พบมากที่สุดของอาคารชุดคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงานทั่วๆไป ตามหลักปฏิบัติที่ถูกต้องของอาคารชุดคอนโดมิเนียมและอาคารสำนักงานทั่วๆไปทุกๆแห่ง ต้องแยกบ่อบำบัดน้ำเสียออกจากส่วนของบ่อเกรอะ ( บ่อรับของเสียสิ่งปฏิกูลจากชักโครกหรือส้วม ) บ่อบำบัดน้ำเสียจะรับน้ำเสียจากท่อน้ำทิ้งและน้ำบริโภคทั่วๆไปจากห้องน้ำและส่วนอื่นๆ โดยแยกไปจากบ่อเกรอะ แต่ในความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะนำน้ำเสียจากน้ำทิ้งน้ำใช้มารวมกันทั้งหมดกับน้ำเสียจากบ่อเกรอะ จึงส่งผลให้ระบบบำบัดน้ำเสียมีปัญหารับน้ำเสียมากเกินไป ตะกรันจากบ่อเกรอะ ทำให้ค่า SS ( ของแข็งแขวนลอนและตะกอนหนัก ) , TDS สูงมาก ค่าพารามิเตอร์แต่ละตัวค่อนข้างสูง น้ำทิ้งจึงไม่ค่อยผ่านค่ามาตรฐานน้ำทิ้งที่กำหนดไว้ นี่คือ ปัญหาที่พบมากที่สุดของอาคารชุดและอาคารสำนักงานทั่วๆไป ต้องทำการแก้ไขและปรับปรุงระบบ ซึ่งสามารถทำได้
จะเริ่มต้นบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสียและบ่อบำบัดน้ำเสียของท่านอย่างไร ? 1. อันดับแรกให้ทำการตรวจสอบระบบทั้งหมดว่ายังใช้การทำงานได้ดีอยู่หรือไม่ ? มีสิ่งใดที่มีปัญหาในระบบบำบัดหรือบ่อบำบัดแล้วทำการแก้ไขปัญหานั้นๆ 2. อันดับต่อมาก็คือ การตรวจสอบหรือการเช็คค่าพารามิเตอร์ในระบบบำบัดและบ่อบำบัดน้ำเสียของท่าน โดยการเก็บตัวอย่างน้ำเสียตรวจสอบค่าพารามิเตอร์ต่างๆในห้องปฏิบัติการว่าได้ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งที่ทางราชการกำหนดหรือไม่ โดยการเก็บตัวอย่างน้ำเสียในบ่อแรก ( น้ำเสียก่อนบำบัด ) และ บ่อสุดท้าย ( น้ำเสียหลังบำบัดแล้ว ) ซึ่งจะทำให้รู้ค่าพารามิเตอร์ต่างๆทั้งก่อนบำบัด ( ในบ่อแรก ) และหลังบำบัด ( บ่อสุดท้าย ) ซึ่งจะทำให้รู้ว่าน้ำเสียในบ่อบำบัดของท่านผ่านมาตรฐานน้ำทิ้งหรือไม่ ระบบบำบัดน้ำเสียของท่านมีประสิทธิภาพหรือไม่ ค่าพารามิเตอร์ต่างๆในบ่อสุดท้ายจะเป็นตัวชี้วัดระบบบำบัดน้ำเสียของท่านว่าผ่าน ( บำบัดน้ำเสียได้อย่างมีประสิทธิภาพ )หรือไม่ผ่าน ( ล้มเหลว ) ระบบบำบัดน้ำเสียในคอนโดมิเนียม อาคารสำนักงาน อพาร์ทเม้นท์ ส่วนใหญ่เป็นระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศแทบทั้งนั้น เพราะลงทุนน้อยและดูแลง่าย แต่จะมีปัญหาตรงที่การดูแลและบำรุงรักษาระบบ ถ้าการดูแลและการบำรุงรักษาทำได้ไม่ดีเท่าที่ควรประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียของระบบจะด้อยลงทันที ระบบบำบัดน้ำเสียของคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 บ่อ คือ บ่อที่ 1 บ่อรับน้ำเสีย บ่อที่ 2 บ่อเติมอากาศ บ่อที่ 3 เป็นบ่อพักน้ำทิ้ง ( น้ำดี ) ก่อนปล่อยทิ้งออกสู่สาธารณะสิ่งแวดล้อมต่อไป ประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียของบ่อบำบัดน้ำเสียในคอนโดมิเนียมขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ทั้งการออกแบบระบบทั้งหมด การเติมอากาศ เครื่องเติมอากาศ ปริมาณของจุลินทรีย์บำบัดน้ำเสียในระบบและอื่นๆ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อประสิทธิภาพของการบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีทั้งสิ้น จากที่พบมาระบบบำบัดน้ำเสียในคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ยังคงมีประสิทธิภาพไม่เพียงพอ ในการดูแลบำรุงรักษาระบบบำบัดให้มีประสิทธิภาพนั้นจำเป็นต้องอาศัยผู้ที่มีความรู้และความเข้าใจในระบบบำบัดนั้นๆพอสมควร ระบบบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศอาจล้มเหลวได้ง่ายๆ ถ้าช่วงใดที่มีปริมาณน้ำเสียมากๆ ระบบบำบัดอาจรับไม่ทันจึงต้องปล่อยน้ำเสียทิ้งไปในที่สาธารณะบ่อยๆ ติดตามมาด้วยมลพิษและมลภาวะของน้ำเสียที่ปล่อยทิ้งออกไป ทุกๆระบบบำบัดน้ำเสีย ไม่ว่าระบบนั้นๆจะลงทุนมากหรือลงทุนน้อย วัตถุประสงค์ของการสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นมาก็เพื่อต้องการดึงกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสีย ซึ่งจุลินทรีย์กลุ่มนี้มีอยู่แล้วในธรรมชาติ แต่อยู่แบบกระจัดกระจายกันไปไม่เป็นกลุ่มก้อนเท่าที่ต้องการ มีทั้งประเภทใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยาย่อยสลาย ดังนั้น ระบบบำบัดน้ำเสียใดมีประสิทธิภาพมากหรือน้อยจึงไปดูที่การดึงปริมาณกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียเข้ามาในระบบให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
มีคำถามว่าทำไมบ่อบำบัดน้ำเสียของคอนโดมิเนียมบางแห่งจึงส่งกลิ่นเหม็นของน้ำเสียในบ่อบำบัด ? เหตุผลก็เพราะว่าปริมาณของเสียและน้ำเสียมีมากกว่าปริมาณจุลินทรีย์ย่อยสลายนั่นเองจึงเกิดปัญหานี้ขึ้น ตามหลักการที่ถูกต้องทั่วๆไปน้ำเสียที่เกิดจากการซักล้าง อาบน้ำ ใช้น้ำในห้องน้ำ จะต้องแยกออกจากกันกับน้ำเสียที่ไปจากชักโครกหรือคอห่าน ( น้ำเสียจากส้วมในห้องน้ำ ) แต่คอนโดมิเนียมบางแห่งผู้ก่อสร้างคอนโดเขาไม่แยกในส่วนนี้ เพราะมันยุ่งยากและใช้พื้นที่เพิ่มขึ้น จึงสร้างรวมเป็นบ่อเดียวกันทั้งหมด น้ำเสียและของเสียจากชักโครก น้ำซักล้าง ฯลฯ ลงที่บ่อเดียวกันทั้งหมด ซึ่งจะสร้างปัญหาให้แก้ไขอย่างมากในภายหลัง การบำบัดน้ำเสียก็ทำได้ยากขึ้น เพราะมีทั้งน้ำเสียและตะกรันจากชักโครก ซึ่งเป็นการออกแบบที่ไม่ถูกต้องตั้งแต่แรกแล้ว ระบบบ่อบำบัดเช่นนี้ก็พบเห็นบ่อยๆเช่นกัน แล้วระบบบำบัดน้ำเสียหรือบ่อบำบัดน้ำเสียของท่านเป็นแบบใด ? ส่วนมากร้อยทั้งร้อยต้องแก้ไขและปรับปรุงระบบแทบทั้งหมด การบำบัดน้ำเสียจึงจะมีประสิทธิภาพ ค่าพารามิเตอร์ต่างๆจึงจะได้มาตรฐานตามที่ทางราชการกำหนดไว้ บ่อบำบัดน้ำเสียในคอนโดมิเนียมบางแห่งที่พบมาไม่มีเครื่องเติมอากาศก็มีจำนวนมาก หรือบางแห่งมีเครื่องเติมอากาศแต่เสียยังไม่ได้ซ่อม หรือบางแห่งมีเครื่องเติมอากาศรันตลอด 24 ชั่วโมง แต่กำลังแรงม้าเครื่องต่ำเติมออกซิเจนได้น้อย ในขณะที่น้ำเสียมีปริมาณมาก ซึ่งไม่สมดุลกัน ทำให้ประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียด้อยลง ปัญหาของระบบบำบัดน้ำเสียต้องได้รับการดูแลบำรุงรักษาโดยผู้มีความรู้ในระบบพอสมควรและดูแลอย่างจริงจังระบบจึงจะมีประสิทธิภาพดีตามที่ต้องการ อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยในระบบบำบัดน้ำเสียหรือบ่อบำบัดน้ำเสีย นั่นก็คือ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสีย ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจหลักที่สำคัญมากที่สุดของระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบ ไม่ว่าจะเป็นระบบแบบเติมอากาศหรือระบบอื่นๆก็ตาม ทุกๆระบบบำบัดน้ำเสียล้วนต้องการดึงจุลินทรีย์มาใช้ประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียทั้งสิ้น ซึ่งระบบบำบัดน้ำเสียส่วนใหญ่จะใช้กลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนหรือใช้อากาศออกซิเจนเป็นหลัก ดังนั้น การเติมอากาศลงในน้ำเสียหรือในบ่อบำบัดน้ำเสียจึงเป็นสิ่งจำเป็นมากที่สุด เพื่อให้กลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนนำไปใช้ในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียนั่นเอง ยิ่งค่าออกซิเจนที่ละลายอยู่ในน้ำเสียมีมาก ( ค่า DO ) จะส่งผลดีต่อปริมาณจุลินทรีย์ที่ใช้อากาศโดยตรง ( Aerobic bacteria ) การบำบัดน้ำเสียและย่อยสลายของเสียในน้ำเสียในบ่อบำบัดนั้นๆก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การจะทำได้เช่นนี้ต้องดูแลบำรุงรักษาให้ถึงโดยผู้ที่เข้าใจและมีความรู้เรื่องเกี่ยวกับระบบบำบัดจริงๆ มีน้อยมากๆที่ระบบบำบัดจะสมบูรณ์แบบ การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบบำบัดน้ำเสียก็สามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน หนึ่งในนั้นก็คือ การเพิ่มหรือเติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียเข้าไปในระบบ ซึ่งเป็นทางลัดที่ทำได้ง่ายกว่าและเป็นที่นิยมปฏิบัติกันในปัจจุบัน
อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า กลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียนั้น มีทั้งประเภทใช้ออกซิเจนและไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยา ( Aerobic bacteria และ Anaerobic bacteria ) กลุ่มจุลินทรีย์Anaerobic bacteria เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนหรือไม่ใช้อากาศในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสีย สามารถสังเคราะห์ขึ้นในห้องปฏิบัติการได้ง่ายกว่ากลุ่มที่ใช้อากาศออกซิเจนเป็นหลัก โดยเฉพาะน้ำเสียที่วิกฤตหนักๆ ในบ่อบำบัดน้ำเสียบางแห่งจะเป็นที่อับอากาศ ( ออกซิเจนมีน้อย ) กลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนเป็นหลักทำงานไม่ได้ เพราะขาดออกซิเจนในการทำปฏิกิริยานั่นเอง ดังนั้น ทางออกขอปัญหานี้จึงต้องไปพึ่งกลุ่มจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยา ซึ่งทำงานย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียได้ดีเช่นเดียวกันกับกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนเป็นหลัก ทำไมจึงต้องใช้จุลินทรีย์ในการบำบัดน้ำเสียและย่อสลายของเสียต่างๆในบ่อบำบัด ? บรรดาของเสียทุกๆชนิดซึ่งรวมทั้งน้ำเสียด้วยจะถูกย่อยสลายและบำบัดโดยจุลินทรีย์กลุ่มที่มีประโยชน์โดยตรง ถือว่าเป็นหน้าที่ของจุลินทรีย์กลุ่มนี้ก็ว่าได้ ถ้าปราศจากจุลินทรีย์กลุ่มที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายกลุ่มนี้แล้ว ของเสียและน้ำเสียต่างๆทั่วโลกก็คงจะล้นโลกใบนี้ไปนานแล้ว จุลินทรีย์มีอยู่ด้วยกันหลากหลายกลุ่มหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งชนิดมีประโยชน์ ชนิดเป็นกลาง และชนิดให้โทษ และจุลินทรีย์ทั้งหมดที่กล่าวมายังมีทั้งกลุ่มที่ใช้ออกซิเจนและกลุ่มที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยาและการดำรงชีพ ( Aerobic bacteria และ Anaerobic bacteria ) เราคัดเลือกเอาเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์เท่านั้นมาใช้งาน โดยเฉพาะการนำมาใช้งานในระบบบำบัดน้ำเสียและบ่อบำบัดน้ำเสีย เราจะคัดเลือกเอาเฉพาะกลุ่มจุลินทรีย์ที่ให้ประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียในบ่อบำบัดน้ำเสียเท่านั้นเติมลงในระบบ การเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียลงในบ่อบำบัดน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสีย เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของบ่อบำบัดน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียโดยตรง เพราะระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบที่สร้างขึ้นมาเพื่อต้องการดึงจุลินทรีย์กลุ่มที่มีประโยชน์ในธรรมชาติมาใช้งานบำบัดน้ำเสียและย่อยสลายของเสียในบ่อบำบัดและระบบบำบัดน้ำเสียในบ่อบำบัดน้ำเสียและระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆแห่งจะขาดจุลินทรีย์กลุ่มที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายไม่ได้อย่างเด็ดขาดหรือมีปริมาณน้อยก็จะเกิดปัญหาไม่สามารถบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีได้ต่อไป ดังนั้น จะเห็นว่าระบบบำบัดน้ำเสียและบ่อบำบัดน้ำเสียใดจะมีประสิทธิภาพมากหรือน้อยหรือไม่มีประสิทธิภาพเลยขึ้นอยู่กับการควบคุมปริมาณของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ให้ได้มากเพียงพอกับของเสียและน้ำเสียหรือไม่ ระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบต้องมีการบำรุงรักษาระบบอย่างต่อเนื่อง แต่ในความเป็นจริงมักจะปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นเรื่องจริงที่ต้องยอมรับ ถ้าไม่เกิดปัญหาการ้องเรียนขึ้นก็ปล่อยปละละเลยไปเรื่อยๆ เพราะประเทศไทยยังขาดระเบียบวินัยและสามัญสำนึกขั้นสูง ต้องรอให้ทางราชการตรวจสอบจึงค่อยลงมือแก้ไข จุลินทรีย์หอมคาซาม่า ( จุลินทรีย์หอม kasama ) เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการบำบัดน้ำเสีย ย่อยสลายของเสียในบ่อบำบัด รวมถึงการกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ เป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสีย( Anaerobic bacteria ) ดังนั้น ถึงแม้ในบ่อบำบัดน้ำเสียนั้นๆไม่มีออกซิเจนละลายอยู่เลยหรือมีน้อย ก็ไม่มีผลในการทำงานย่อยสลายและบำบัดน้ำเสียของจุลินทรีย์หอมคาซาม่า ซึ่งสามารถทำปฏิกิริยาได้ทั้งในสภาวะไร้อากาศออกซิเจนและในสภาวะมีอากาศออกซิเจน และสามารถทำงานแบบคู่ขนานไปกับกลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายที่ใช้ออกซิเจนเป็นหลักได้โดยไม่ส่งผลเสียใดๆต่อระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบ ในทางตรงกันข้ามกลับส่งผลดีต่อระบบบำบัดน้ำเสียโดยตรง ทำให้ประสิทธิภาพการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียมีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว ปัญหาที่พบบ่อยๆในระบบบำบัดน้ำเสียแต่ละแห่ง ( บ่อบำบัดน้ำเสียแต่ละหน่วยงาน ) ก็คือ ปริมาณน้ำเสียมีมากกว่าปริมาณของจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสีย ซึ่งสามารถสังเกตุได้จากทั้งค่าพารามิเตอร์ของน้ำเสียในบ่อบำบัดและจากปัญหาในเรื่องกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆ รวมไปถึงสีของน้ำเสีย สภาพของบ่อบำบัดน้ำเสียที่ขาดการดูแล ฯลฯ สิ่งต่างๆเหล่านี้เป็นตัวชี้วัดถึงสภาพของน้ำเสียที่ยังไม่สามารถบำบัดให้เป็นน้ำดีก่อนปล่อยทิ้งออกสู่สิ่งแวดล้อม การแก้ไขปัญหานี้ก็ด้วยการเติมหรือเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียเข้าไปในระบบ ( เติมจุลินทรีย์ลงในบ่อบำบัดน้ำเสีย ) ทำไมต้องเติมจุลินทรีย์ลงในบ่อบำบัดน้ำเสีย ? คำตอบก็คือ ถ้าระบบบำบัดน้ำเสียนั้นๆหรือบ่อบำบัดน้ำเสียนั้นๆมีปริมาณของจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียมากพอ ( มากกว่าปริมาณของเสียที่เกิดขึ้น ) ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องเติมจุลินทรีย์ย่อยสลายเข้าไปในระบบหรือลงในบ่อบำบัดน้ำเสียนั้นๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ส่วนใหญ่จะมีปัญหาในเรื่องของปริมาณจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียไม่เพียงพอต่อปริมาณของเสียที่เกิดขึ้นจริง ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องเติมหรือเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ลงในบ่อบำบัดน้ำเสีย เพื่อทำให้การบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จุดบอดหรือจุดด้อยของระบบบำบัดน้ำเสียของอาคารสำนักงานต่างๆและอาคารชุดคอนโดมิเนี่ยมคือ ในเรื่องของพื้นที่ที่ใช้สร้างบ่อบำบัดน้ำเสียมีพื้นที่น้อยและจำกัด สร้างบ่อบำบัดน้ำเสียได้ไม่เต็มที่เท่าที่ควร ( อาคารสำนักงานทั่วๆไปและอาคารชุดคอนโดมิเนียมมีปริมาณน้ำเสียค่อนข้างมาก ) น้ำเสียมีมาก ในขณะที่บ่อรับน้ำเสียและบ่อบำบัดน้ำเสียทำได้จำกัดและมีจำนวนบ่อรับน้ำเสียน้อยกว่าปกติ ( ส่วนมากไม่เกิน 3 บ่อ ) ในการบำบัดน้ำเสียนั้นต้องใช้ระยะเวลาบำบัดและย่อยสลาย ซึ่งจุลินทรีย์ย่อยสลายจะทำหน้าที่นี้ ยิ่งน้ำเสียที่มีสารอินทรีย์ที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ยิ่งต้องใช้ระยะเวลาย่อยสลายนานมากขึ้น จึงส่งผลให้น้ำเสียตามอาคารสำนักงานและอาคารชุดส่วนใหญ่ไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานของทางราชการกำหนดไว้ การที่จะทำให้ระบบบำบัดน้ำเสียมีประสิทธิภาพ ( บำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีได้ )ได้นั้นสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน ซึ่งต้องดูข้อมูลของระบบบำบัดน้ำเสียแต่ละสถานที่เป็นหลักในการแก้ไขปัญหา อาจต้องแก้ไขทั้งทางด้านกายภาพ ชีวภาพหรือทางเคมี ซึ่งต้องใช้ทั้งความรู้รอบด้านและความเข้าใจเกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสียในการแก้ไขปัญหา การบำบัดน้ำเสียโดยใช้จุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสีย อย่างที่กล่าวมาแล้วว่า การบำบัดน้ำเสียและย่อยสลายของเสียต่างๆต้องใช้จุลินทรีย์ในการย่อยสลาย ซึ่งกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียต่างๆยังจำแนกออกเป็น 2 กลุ่มดังต่อไปนี้. - 1. กลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายของเสียที่ใช้ออกซิเจนเป็นหลักในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายและการดำรงชีพเจริญเติบโต 2. กลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสีย ( ใช้วิธีการแลกอิเล็คตรอนกับสารประกอบต่างๆ ) ผู้ผลิตและจำหน่ายจุลินทรีย์บำบัดน้ำเสียในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเม้นท์ อาคารสำนักงานทุกๆแห่ง รีสอร์ท ฯลฯ สามารถใช้งานบำบัดน้ำเสียและย่อยสลายของเสียได้ทันที ได้ประโยชน์ทั้งการบำบัดน้ำเสียและการกำจัดกลิ่นเหม็นในน้ำเสียในบ่อบำบัด ให้คำแนะนำในการใช้และปรับระบบบ่อบำบัดฟรีๆกับลูกค้าของเราทุกๆท่าน อธิบายกระบวนการบำบัดน้ำเสียแบบเติมอากาศ AS + จุลินทรีย์หอมคาซาม่า ( ภาพบน ) จากภาพบนเป็นการบำบัดน้ำเสียระบบ AS เติมอากาศ ( จุลินทรีย์ย่อยสลายชนิดใช้ออกซิเจน ) + จุลินทรีย์หอมคาซาม่า ( ไม่ใช้ออกซิเจนในการย่อยสลาย ) จะเห็นได้ว่าถ้าเป็นระบบบำบัดน้ำเสียแบบ AS เดิมในบ่อที่ 1 จะเป็นบ่อรับน้ำเสียและตกตะกอนเบื้องต้นธรรมดาเท่านั้น ( การย่อยสลายเกิดขึ้นน้อยมากในบ่อนี้ ) ก่อนที่จะผ่านเข้าไปบ่อเติมอากาศบ่อที่ 2 ซึ่งเป็นบ่อที่ทำการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียได้มากที่สุดในระบบนี้ ( บ่อย่อยสลายขงเสียโดยใช้จุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน ) และส่งต่อไปยังบ่อพักน้ำทิ้งที่บำบัดแล้วในบ่อที่ 3 ( ตามภาพบน ) การบำบัดน้ำเสียและย่อยสลายของเสียส่วนใหญ่ในระบบ AS นี้จะเกิดขึ้นในจุดเดียวคือ บ่อเติมอากาศ ( มีจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน ) ซึ่งมีกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนเป็นตัวทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียต่างๆและบำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดี แต่เมื่อเติมจุลินทรีย์หอมคาซาม่าเข้าไปเพิ่มเติม ( ในบ่อที่ 1 ) จะเกิดการย่อยสลายในบ่อที่ 1 หรือบ่อแรกเพิ่มขึ้นทันทีอีกจุดหนึ่ง ( เหมือนบ่อเติมอากาศ ) กลุ่มจุลินทรีย์หอมคาซาม่าเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสีย ดังนั้น ออกซิเจนจึงไม่มีความจำเป็นสำหรับจุลินทรีย์หอมคาซาม่า สามารถทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียในน้ำเสียนั้นๆได้ทันที จะเห็นได้ว่าการย่อยสลายของเสียเกิดขึ้นพร้อมกันทั้ง 2 จุดหรือ 2 บ่อ ( บ่อที่ 1 และ บ่อเติมอากาศ ) ซึ่งเป็นการบำบัดน้ำเสียแบบดับเบิ้ล คือ บ่อที่ 1 จุลินทรีย์หอมคาซาม่าเป็นตัวบำบัด ( ย่อยสลายของเสียต่างๆ )เป็นด่านแรกก่อนที่จะส่งต่อไปบำบัดอีกชั้นหนึ่งที่บ่อเติมอากาศ ( มีจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนย่อยสลาย ) จึงส่งผลให้ประสิทธิภาพการย่อยสลายของเสียและการบำบัดน้ำเสียทำได้ดีมากยิ่งขึ้น ค่าพารามิเตอร์ต่างๆจะลดลงตั้งแต่การย่อยสลายหรือการบำบัดในบ่อแรกแล้ว การบำบัดและย่อยสลายของเสียต่างๆซ้ำในบ่อเติมอากาศ ( โดยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน ) ยิ่งจะทำให้ค่าพารามิเตอร์ต่างๆ เช่น BOD , SS , TDS , FOG , TKN ลดลงมากยิ่งขึ้นไปอีก ตะกอนต่างๆก็จะลดลงเหลือน้อยมากขึ้นตามไปด้วย ซึ่งเป็นเพราะประสิทธิภาพการบำบัดสองชั้นดังกล่าว ( บำบัดด้วยจุลินทรีย์หอมคาซาม่าในบ่อแรกและบำบัดด้วยจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนในบ่อเติมอากาศ) จึงส่งผลให้ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งดีขึ้นกว่าปกติที่เคยเป็น ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งผ่านเกณฑ์ได้ง่ายขึ้นเป็นเพราะผลของการบำบัดหรือการย่อยสลายของเสีย 2 ชั้น ปฏิกิริยาการย่อยสลายก็จะรวดเร็วขึ้นกว่าปกติ ของเสียต่างๆในน้ำเสียจึงไม่เป็นภาระหนักให้กับบ่อเติมอากาศเพียงจุดเดียวอีกต่อไป ( ไม่เป็นภาระหนักให้กับจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจน ) ที่อาจย่อยสลายของเสียได้ไม่หมดหรือย่อยสลายได้เพียงบางส่วนเล็กน้อย จึงส่งผลให้ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์ในบ่อสุดท้ายบ่อยๆได้
สรุป จุลินทรีย์หอมคาซาม่าไปเพิ่มประสิทธิภาพในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียในระบบ AS และยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการบำบัดน้ำเสียให้กับกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนในบ่อเติมอากาศอีกชั้นหนึ่ง การย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียเกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพสูงเป็นพิเศษ ส่งผลให้ระบบบำบัดน้ำเสียสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น เป็นการบำบัดน้ำเสียโดยการใช้จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสีย 2 กลุ่ม คือ กลุ่มจุลินทรีย์หอมคาซาม่า ( ไม่ใช้ออกซิเจน ) และกลุ่มจุลินทรีย์ที่ใช้ออกซิเจนเป็นหลัก ทำให้สสารที่เจือปนอยูในน้ำเสียถูกย่อยสลายได้มากขึ้นและเร็วขึ้นกว่าปกติทั่วๆไป หมายเหตุ : จุลินทรีย์หอมคาซาม่า สามารถใช้ได้กับระบบบำบัดน้ำเสียได้ทุกๆระบบ ( ในทั้งหมด 6 ระบบ ) นอกจากบำบัดน้ำเสียได้ดีแล้ว ยังมีคุณสมบัติเด่นๆในเรื่องของการกำจัดกลิ่นหรือดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ต่างๆเพิ่มอีกด้วย เราคือผู้ผลิตและจำหน่ายจุลินทรีย์หอมคาซาม่าโดยตรง ไม่มีผ่านคนกลางใดๆทั้งสิ้น ให้คำแนะนำและคำปรึกษาฟรีกับลูกค้าของเราทุกๆแห่งในระบบบำบัดน้ำเสีย ไม่ว่าจะเป็นระบบเดิมๆหรือการสร้างระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นมาใหม่ เราให้คำแนะนำฟรีๆ เพียงสั่งซื้อจุลินทรีย์หอมคาซาม่าของเราท่านจะได้รับสิทธิ์ในการปรึกษาจากเราทันทีและต่อเนื่องได้ จุลินทรีย์หอมคาซาม่าเป็นกลุ่มจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียที่ไม่ใช้ออกซิเจนในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสีย ( Anaerobic bacteria ) สามารถใช้ได้กับระบบบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบที่มีปัญหาอออกซิเจนละลายในน้ำเสียไม่เพียงพอ ( ค่า DO ในน้ำเสียต่ำ ) ซึ่งทำให้กลุ่มจุลินทรีย์ย่อยสลายที่ใช้ออกซิเจเป็นหลักในการทำปฏิกิริยาย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียไม่ทำงาน จึงส่งผลให้น้ำเสียวิกฤตมากยิ่งขึ้นนั่นเอง รวมทั้งกลิ่นเน่าเหม็นต่างๆสะสมมากขึ้น จุลินทรีย์หอมคาซาม่าสามารถใช้กับระบบบำบัดน้ำเสียได้กับทุกๆระบบ โดยเฉพาะกับระบบที่มีปริมาณจุลินทรีย์ที่ละลายอยู่ในน้ำมีปริมาณน้อยกว่าของเสียและน้ำเสีย ( ระบบเติมอากาศทั่วๆไป ) น้ำเน่าเหม็นและน้ำที่เน่าเสียมีที่มาจากปริมาณจุลินทรีย์กลุ่มย่อยสลายของเสียและบำบัดน้ำเสียมีปริมาณน้อยกว่าของเสียที่เกิดขึ้นจริง จึงเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น ราคาจำหน่ายจุลินทรีย์หอมคาซาม่า ( จุลินทรีย์หอม-Kasama ) ขนาดบรรจุแกลลอนขนาด 20 ลิตร ( มีขนาดเดียว ) จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย ราคา จุลินทรีย์ดับกลิ่น ราคา ราคาแกลลอนละ 1,200 บาท จัดส่งทั่วประเทศฟรีๆ มีปัญหาระบบบำบัดน้ำเสียไม่สมบูรณ์ ปัญหาน้ำเสียในอาคาร บ่อดักไขมันส่งกลิ่นเหม็นรบกวน บ่อเกรอะส่งกลิ่นเหม็นรบกวน น้ำเน่าเหม็นน้ำเน่าเสียส่งกลิ่นเหม็นรบกวน บ่อบำบัดน้ำเสียส่งกลิ่นเหม็นรบกวนใจ ห้องน้ำมีกลิ่นเหม็น ใช้จุลินทรีย์หอมคาซาม่า ( จุลินทรีย์หอม-kasama )บำบัดน้ำเสียและกำจัดกลิ่นในเวลาเดียวกัน เปลี่ยนกลิ่นเหม็นให้เป็นกลิ่นหอมได้รวดเร็วทันใจ เพิ่มประสิทธิภาพให้ระบบบำบัดน้ำเสียของท่านได้ดีมากขึ้น
จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย/การบำบัดน้ำเสียในคอนโดมิเนียมทุกๆแห่ง กดดูที่นี่.. จุลินทรีย์เติมบ่อบำบัดน้ำเสีย/จุลินทรีย์ใส่บ่อบำบัดน้ำเสีย คลิกดูที่นี่... ปัญหาบ่อเติมอากาศส่งกลิ่นเหม็นเกิดจากสาเหตุใด ? คลิกดูที่นี่.. เทคนิคการลดค่า BOD สูงในน้ำเสียทุกๆแห่ง คลิกดูที่นี่.. การบำบัดน้ำเสียและบำบัดกลิ่นในโรงงานไอศครีมทุกๆแห่ง คลิกที่นี่... การแก้ปัญหาน้ำเสียและกลิ่นในโรงงานปลาหมึกทุกๆแห่ง คลิกที่นี่.. การแก้ปัญหาน้ำเสียและกลิ่นในโรงงานขนมจีนทุกๆแห่ง คลิกที่นี่... การเช็คค่า BOD , pH , DO ของระบบบำบัดน้ำเสีย คลิกดูที่นี่... วิธีการลดค่า BOD , SS , TDS ในโรงงานปลากระป๋อง คลิกที่นี่.. จุลินทรีย์บำบัดน้ำเสีย/จุลินทรีย์หอมบำบัดน้ำเสียทุกๆระบบ คลิกที่นี่..
[ ระบบบำบัดน้ำเสีย และ ค่าพารามิเตอร์ต่างๆ คลิกที่นี่.. ]
ค่าพารามิเตอร์ต่างๆของน้ำเสียในคอนโดมิเนียมที่ควรรู้ในเบื้องต้น
1. pH ( พีเอช) เป็นค่าที่บอกถึงความเป็นกรดเป็นด่างของน้ำเสีย โดยทั่วไปสิ่งมีชีวิตในน้ำหรือจุลินทรีย์ในถังบำบัดจะดำรงชีพได้ดีในสภาะเป็นกลาง คือ pH ประมาณ 6-8 ถ้าค่า pH ต่ำมากหรือสูงจนเกินไปจะส่งผลให้จุลินทรีย์ตายยกบ่อบำบัดได้ 2. BOD หรือ บีโอดี (Biochemical Oxygen Demand) เป็นค่าที่บอกถึงปริมาณออกซิเจนที่จุลินทรีย์ใช้ในการย่อยสลายสารอินทรีย์ ถ้าค่าบีโอดีสูงแสดงว่าความต้องการออกซิเจนสูง นั่นคือมีความสกปรกหรือสารอินทรีย์ในน้ำมาก 3. SS ปริมาณของแข็ง ( Suspended Solids : SS ) หมายถึงปริมาณสารที่เป็นของแข็งต่างๆ ที่มีอยู่ในน้ำเสีย ทั้งในลักษณะที่ไม่ละลายน้ำและที่ละลายน้ำ (Dissolved Solids) ของแข็งบางชนิดมีน้ำหนักเบาและแขวนลอยอยู่ในน้ำ (Suspended Solids) บางชนิดหนักและจมตัวลงเบื้องล่าง (Settleable Solids) ของแข็งที่ไม่ละลายน้ำนี้อาจสร้างปัญหาในการอุดตันเครื่องเติมอากาศ และถ้าปล่อยทิ้งในปริมาณมากจะทำให้เกิดความสกปรกและตื้นเขินในลำน้ำธรรมใชาติ ตลอดจนบดบังแสงแดดที่ส่องลงสู่ท้องน้ำ 4. N หรือ ไนโตรเจน (Nitrogen) เป็นธาตุจำเป็นในการสร้างเซลล์ ของสิ่งมีชีวิต ไนโตรเจนจะเปลี่ยนสภาพเป็นแอมโมเนีย ถ้าหากในน้ำมีออกซิเจนพอเพียงก็จะถูกย่อยสลายไปเป็นไนไทรต์และไนเตรท ดังนั้นการปล่อยน้ำเสียที่มีสารประกอบไนโตรเจนสูงจึงทำให้ออกซิเจนที่มีอยู่ในลำน้ำลดน้อยลง 5. ไขมันและน้ำมัน Fat, Oil, and Grease) ส่วนใหญ่ ได้แก่ น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ที่ใช้ในการทำอาหาร สบู่จากการอาบน้ำ ฟองสารซักฟอกจากการชำระล้าง สารเหล่านี้มีน้ำหนักเบาและลอยน้ำ ทำให้เกิดสภาพไม่น่าดูและขวางกั้นการซึมของอกอซิเจนจากอากาศสู่แหล่งน้ำ นอกจากนี้ยังมีค่าบีโอดีสูงเพราะเป็นสารอินทรีย์
6. COD หรือ ซีโอดี (Chemical Oxygen Demand) คือค่าปริมาณออกซิเจนที่ใช้ในการย่อยสารอินทรีย์ด้วยวิธีการทางเคมี
ค่าพารามิเตอร์มาตรฐานน้ำทิ้งของอาคารชุดคอนโดมิเนี่ยมตั้งแต่ 500 ห้องขึ้นไป
TKN (Total Kjeldahl Nitrogen) หมายถึงปริมาณรวมทั้งหมดของ ไนโตรเจนอนินทรีย์และแอมโมเนีย-ไนโตรเจนที่อยู่ในโปรตีนของพืชและสัตว์ # น้ำดีหรือน้ำเสียค่า DO จะเป็นตัวบ่งชี้ในเบื้องต้น ค่ากลางของน้ำดีจะอยู่ประมาณ 5 - 8 mg/l หรือ 5-8 ppm. ค่า BOD ของน้ำดีจะอยู่ที่ <= 6 mg/l จะส่งผลทำให้ค่า DO >= 5 ขึ้นไป มาตรฐานน้ำทิ้ง ค่า BOD ( กลาง ) ประมาณ 20 mg/l หรือ 20 ppm. ถ้าค่า BOD เกิน 100 mg/l ขึ้นไป น้ำก็จะเน่าเสียแล้ว ( สารอินทรีย์เจือปนในน้ำมีมาก ) การควบคุมค่าพารามิเตอร์ต่างๆในบ่อบำบัดน้ำเสีย ( Para Meter Control ) ทำไมต้องคอนโทรลค่าพารามิเตอร์ต่างๆ เหตุผลก็เพื่อต้องการทราบค่าพารามิเตอร์ต่างๆ ทั้งก่อนบำบัด ( ในบ่อแรก ) และหลังการบำบัดแล้ว ( น้ำเสียที่ผ่านการบำบัดให้เป็นน้ำดี ) ซึ่งค่าพารามิเตอร์จะเป็นตัวชี้วัดคุณภาพน้ำที่ผ่านการบำบัดว่า บำบัดน้ำเสียให้เป็นน้ำดีได้หรือไม่ รวมถึงจะบอกถึงประสิทธิภาพในการบำบัดน้ำเสียของระบบบำบัดน้ำเสียในหน่วยงานนั้นๆ น้ำที่มีสีใสๆไม่ใช่น้ำที่มีคุณภาพดีเสมอไป อาจมีสารอินทรีย์เจือปนอยู่มากก็ได้ ( เป็นน้ำเสีย ) ค่าพารามิเตอร์พื้นฐานที่ต้องคอนโทรลในระบบบำบัดน้ำเสียหรือบ่อบำบัดน้ำเสีย เช่น ค่า ph , BOD , COD , SS , TDS , FOG , TKN , S ,DO เป็นต้น ถ้าคอนโทรลค่าพารามิเตอร์พื้นฐานเหล่านี้ได้ตามกำหนดมาตรฐานน้ำทิ้งได้แล้ว ถือว่าระบบบำบัดน้ำเสียมีประสิทธิภาพดีมาก และต้องคอนโทรลได้อย่างต่อเนื่อง การวัดค่าพารามิเตอร์ของน้ำเสียในบ่อบำบัดประจำเดือน ( ในแต่ละครั้ง ) ให้เก็บตัวอย่างน้ำเสียในบ่อที่ 1 ( ก่อนบำบัด ) และ บ่อสุดท้าย ( ผ่านการบำบัดแล้ว ) มาวิเคราะห์ค่าพารามิเตอร์ต่างๆในห้องปฏิบัติการแล้วนำไปขึ้นเป็นรีพอร์ท ( รายงานผลการวิเคราะห์ ) ประจำเดือนในแต่ละเดือนต่อไป ( ส่งให้หน่วยงานราชการได้ ) สิ่งที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะน้ำเสียที่ไปจากอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนี่ยมต่างๆทุกๆแห่งจะมีสารอินทรีย์และตะกอนปนเปื้อนในน้ำเสียค่อนข้างสูง ส่งผลให้ค่า BOD , TOC , SS , TDS สูงตามไปด้วย การลดสารอินทรีย์ ( ถ้าทำได้ ) จะส่งผลให้ค่า BOD และ TOC ลดลงตามไปด้วย ถ้าตะกอนสารอินทรีย์มีขนาดใหญ่อาจใช้ตัวกรองของเสียและกรองตะกอนตะกรัน ( Filter ) กรองดักของเสียก่อนลงในบ่อแรก เพื่อลดค่า SS , TDS ไปในตัว ซึ่งมีส่วนช่วยลดค่า BOD , COD , TOC โดยเฉพาะการฟิลเตอร์กรองแบบละเอียดก่อนน้ำเสียลงบ่อสุดท้าย ( ก่อนปล่อยน้ำทิ้งออกสู่สาธารณะ ) การเพิ่มตัวฟิลเตอร์ในแต่ละบ่อจะช่วยลดค่า BOD , TOC , SS , TDS ไปได้มากพอสมควร ตัวฟิลเตอร์ก่อนลงในบ่อแรกอาจจะหยาบพอประมาณ เพิ่มตัวกรองสัก 2-3 ชั้น ( กรองแบบหยาบในบ่อแรก ) ส่วนบ่อลำดับต่อไปจนถึงบ่อสุดท้ายก็สามารถเพิ่มความละเอียดของฟิลเตอร์มากขึ้นตามความต้องการ เป็นวิธีการลดค่าพารามิเตอร์บางตัวแบบง่ายๆ แต่จะส่งผลดีต่อประสิทธิภาพการบำบัดของระบบได้มากขึ้น ในส่วนของค่า pH สามารถปรับได้ง่าย
ตัวอย่างแบบคร่าวๆของการทำรายงานผลประจำเดือนบ่อบำบัดน้ำเสีย/ระบบบำบัดน้ำเสีย ผลการวิเคราะห์ค่าพารามิเตอร์น้ำเสียและน้ำทิ้งของบ่อบำบัดน้ำเสียนิติบุคคลอาคารชุด A ประจำเดือน ..... พ.ศ. 2563 ( ค่าพารามิเตอร์ของน้ำเสียแต่ละแห่งอาจแตกต่างกันออกไปสถานะของหน่วยงาน )
เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับระบบบำบัดน้ำเสีย
[[ ค่ามาตรฐานน้ำทิ้งไม่ผ่านเกณฑ์มากที่สุดมาจากแหล่งใด ? คลิกที่นี่.. ]]
[[ค่ามาตรฐานน้ำทิ้ง คลิกที่นี่..]]
|